admin@phraefoodthailand.com

ยินดีต้อนรับสู่เว็บไซต์ อาหารจังหวัดแพร่


ขนมครกกะทิ

ขนมครกโบราณสูตรดั้งเดิม จะใช้ข้าวเจ้าแช่น้ำไว้พอประมาณจากนั้นนำไปโม่รวมกับหางกะทิ เหยาะเกลือเล็กน้อยในแป้งทำขนม ส่วนหน้าขนมครกก็จะราดด้วยหัวกะทิพองาม
เพื่อเพิ่มความน่าสนใจของขนมครก ในปัจจุบันได้มีการคิดค้นสูตรใหม่ ๆ ออกมามากมาย เช่น ขนมครกชาววัง ขนมครกใบเตย ขนมครกยกถาด ขนมครกไส้ทะลัก ขนมครกม้วน ขนมครกแฟนซี โดยการดัดแปลงทั้งตัวเนื้อขนม และการโรยหน้าตามสมัยนิยม เช่น ข้าวโพด ต้นหอม เผือก ฟักทอง มันม่วง มะพร้าวอ่อน ลูกเกด ฝอยทอง มันแครอท ถั่วแดง ถั่วดำ เป็นต้น
ขนมครกนั้น เป็นขนมไทยโบราณ ทำจากแป้ง น้ำตาล และกะทิ เทลงบนเตาหลุม สำหรับทำขนมครก รอจนสุก แล้วแคะออกมา เป็นแผ่นวงกลม วางประกบกันแล้วทาน เชื่อว่าหลาย ๆ คนน่าจะเคยทานกันแน่นอน ขนมครกจะให้รสชาติ หอมมันกะทิ กรอบนอกหน่อย ๆ และตัวเนื้อด้านใน มีความนุ่มละมุน จึงทำให้เป็นของโปรดปราน สำหรับคนทุก ๆ เพศ ทุก ๆ วัยเลยทีเดียว

คุณค่าทางโภชนาการ ข้อมูลโภชนาการ, แคลอรี่, พลังงาน และสารอาหาร ใน C ขนมครก ในปริมาณ 1 คู่ มีพลังงานทั้งหมด 63 กิโลแคลอรี่, โปรตีน 2 กรัม, คาร์โบไฮเดรต 7 กรัม, ไขมัน 3 กรัม อื่น ๆ เข่น เกลือโซเดียม, คอเลสเตอรอล, วิตามิน, ไขมันอิ่มตัว, ไขมันไม่อิ่มตัว, น้ำตาล, กากไยอาหาร
ส่วนผสม ขนมครก อัตราส่วน น้ำปูนใส
1. น้ำเปล่า 1000 มิลลิลิตร 2. ปูนแดงกินหมาก 2 ช้อนตวง (คนให้ละลายทิ้งไว้ข้ามคืน)
ส่วนผสม
1. แป้งขนมครก แป้งข้าวเจ้า 250 กรัม
2. ข้าวหอมมะลิหุงสุก 100 กรัม
3. น้ำปูนใส 120 กรัม (หาไม่ได้ใช้น้ำเปล่าแทนได้)
4. หัวกะทิคั้นสดแบบเข้มข้น 500 มิลลิลิตร
5. หางกะทิ 250 มิลลิลิตร
6. น้ำตาลทราย 60 กรัม
7. เกลือสมุทร 2 ช้อนชา

ส่วนผสม หน้ากะทิ
1. หัวกะทิคั้นสดแบบเข้มข้น 500 มิลลิลิตร
2. น้ำตาลทราย 80 กรัม (ไม่ชอบหวานลดเหลือ70กรัม)
3. เกลือสมุทร 1/2 ช้อนชา +1/4 ช้อนชา
4. แป้งข้าวเจ้าตราหมีคู่ดาว 1 ช้อนตวง +1/2 ช้อนตวง1

ส่วนผสม ไส้โรยหน้า
1. ข้าวโพดหวานฝานบาง ๆ นึ่งสุก 1-2 ฝัก
2. เผือกหอมหั่นเต๋านึ่งสุก 1 ถ้วย
3. ต้นหอมซอย 1 ถ้วย
4. ผ้าเช็ดเบ้าขนมครก
5. น้ำมันพืชสำหรับเช็ดเบ้า
ขั้นตอนวิธีการทำขนมครก
1. นำข้าวโพดหวานมาฝานบาง ๆ เผือกหั่นเต๋า นำไปนึ่งให้สุกประมาณ 20 นาที ส่วนต้นหอมนำมาซอย พักไว้
2. ทำแป้งขนมครก โดยการนำ แป้งข้าวเจ้า ข้าวสวย น้ำปูนใส กะทิ เกลือ ปั่นให้เข้ากันจนละเอียดดี เทใส่ในชามผสม พักแป้งไว้ 30 นาที
3. จากนั้นทำหน้ากะทิ โดยการนำแป้งข้าวเจ้า หัวกะทิแบบคั้นสดเข้มข้น น้ำตาลทรายขาว และเกลือสมุทรผสมเข้าด้วยกัน คนด้วยตะกร้อมือจนทุกอย่างละลายเข้ากันดี
4. เทส่วนผสมทั้งสองอย่างลงไปในกาน้ำหัวแหลม เพื่อสะดวกในการเทลงถาดหลุม
5. เทคนิคการเท เราต้องเทส่วนผสมของแป้งลงไปก่อน โดยเริ่มจากด้านนอกวนเข้าไปบรรจบที่ด้านใน เมื่อหยอดครบแล้ว ต้องนำส่วนกะทิเทลงทันทีจนครบ
6. จากนั้นนำเครื่องที่เตรียมไว้หยอดลงไป โดยต้นหอมสามารถหยอดได้ทันที ส่วนข้าวโพดกับเผือก ควรรอให้แป้งเซตตัวก่อนค่อยใส่ลงไป
7. นำฝาปิด ใช้เวลาประมาณ 5 นาที หรือดูว่าขอบด้านนอกออกสีน้ำตาล ถือว่าใช้ได้ นำช้อนมาตักออกทีละหลุม จัดเรียงให้สวยงาม พร้อมเสิร์ฟ
เทคนิคการเตรียมถาดหลุม
1. เมื่อซื้อถาดหลุมขนมครกมาแล้ว ควรล้างด้วยน้ำยาล้างจานให้สะอาดประมาณ 3 รอบเพื่อล้างที่เคลือบกระทะออกจนหมด
2. นำไปตั้งไฟให้ร้อน เทน้ำมันพืชลงไปให้ท่วม ทิ้งไว้ 30 นาที จากนั้นเทนำมันออก จะทำให้เวลาใส่แป้งกะทิจะไม่ติด

เทคนิคการทำขนมครก
1. หากไม่มีน้ำปูนใส ใช้น้ำเปล่าแทนได้ แต่การใช้น้ำปูนใสจะทำให้ขนมครกกรอบนอกนุ่มในมากกว่า
2. ใช้กะทิคั้นสด ขนมจะออกมาหอมมันกว่าใช้กะทิกล่อง แต่ถ้าหาไม่ได้จริง ๆ สามารถใช้กะทิกล่องแทนได้
3. ใช้ไฟอ่อนในการทำขนมครก โดยจะต้องวอร์มให้เตาขนมครกร้อนดีก่อนจึงจะหยอดแป้งลงไป
4. หยอดแป้งเสร็จจะต้องตามด้วยหน้ากะทิทันที เพื่อให้ทั้งสองชั้นผสานกัน
ประโยชน์ของขนมครก
1. คาร์โบไฮเดรต ขนมครกเหมาะอย่างยิ่งที่จะเป็นอาหารเช้า เพราะหลังจากนอนหลับพักผ่อนมาทั้งคืน ร่างกายต้องการคาร์โบไฮเดรต เพื่อให้พลังงานแก่ร่างกายและป้องกันสมองขาดสารอาหารไปหล่อเลี้ยงได้อีกทาง
2. ไขมันชนิดดีกะทิจากธรรมชาติ จัดอยู่อยู่ในกลุ่มของไขมัน “มีเดียมเชน ไตรกลีเซอไรด์” (Medium-chain triglycerides) ซึ่งเป็นไขมันที่ร่างกายขับออกได้ดี เลยไม่ค่อยถูกเก็บสะสมในร่างกายจนทำให้อ้วน
3. วิตามิน E
ในมะพร้าวขูดที่โรยหน้าขนมครก เป็นแหล่งของวิตามิน E ซึ่งเป็นหนึ่งในวิตามินที่ละลายในไขมันได้ดี ประโยชน์ของวิตามินอี คือ ป้องกันการแตกของเม็ดเลือด ป้องกันการอุดตันของเม็ดเลือด ต่อต้านอนุมูลอิสระ และป้องกันการอักเสบของกล้ามเนื้อ
4. วิตามิน A
วัสดุที่ใช้โรยหน้าขนมครก เช่น ข้าวโพด เผือก ต้นหอม ล้วนเป็นแหล่งของ วิตามิน A ซึ่งมีประโยชน์และมีความจำเป็นต่อร่างกายเป็นอย่างมาก เพราะช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายของเราทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยลดระยะเวลาการเจ็บป่วยจากโรคต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี และที่สำคัญสำหรับวัยรุ่นก็คือ
ข้อควรระวัง

1. ขนมครกเป็นอาหารแป้ง+น้ำตาล+ไขมัน ให้แคลอรี่สูง กินมาก ๆ อ้วน กินพอดีจะส่งผลดีกว่า

2. ระวังร้อนลวกปากลวกลิ้น เพราะเวลาเอามือจับที่ผิวนอกของขนมครก อาจเหมือนไม่ร้อนมาก แต่ต้วเนื้อขนมร้อนกว่าเยอะ อาจะทำให้ลิ้นสัมผัสความร้อนจนหมดความอร่อยก็ได้



Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Search

About

อาหารล้านนาชวนให้ลิ้มลองรสชาติความอร่อยที่ผสมผสานความเผ็ด เค็ม หวาน และเปรี้ยวได้อย่างลงตัว สะท้อนวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของชาวล้านนาที่เรียบง่ายแต่แฝงไปด้วยความอุดมสมบูรณ์

Tags

There’s no content to show here yet.

Gallery