
มะยม
- ชื่อสมุนไพร มะยม
ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น มะยม, บะยม (ภาคเหนือ), หมากยม (ภาคอีสาน), ยม (ภาคใต้)
ชื่อวิทยาศาสตร์ Phyllanthus acidus (Linn.) Skeels.
ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Phyllanthus distichus Müll.Arg. Cicca acida Merr. Cicca disticha L. Averrhoa acida L - ชื่อสามัญ Star-goose berry
วงศ์ PHYLLANTHACEAE (EUPHOBIACEAE)
มะยม ภาคอีสานเรียกว่า หมากยม ภาคใต้เรียกว่า ยม เป็นไม้ยืนต้น ขนาดเล็กถึงขนาดกลาง สูงประมาณ 3 – 10 เมตร ลำต้นตั้งตรง เปลือกต้นขรุขระสีเทาปนน้ำตาล แตกกิ่งที่ปลายยอด กิ่งก้านจะเปราะและแตกง่าย ใบประกอบ มีใบย่อยออกเรียงแบบสลับกันเป็น 2 แถว แต่ละก้านมีใบย่อย 20 – 30 คู่ ใบรูปขอบขนานกลมหรือค่อนข้างเป็นสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนปลายใบแหลม ฐานใบกลมหรือมน ขอบใบเรียบ ดอก ออกเป็นช่อตามกิ่ง ดอกย่อยสีเหลืองอมน้ำตาลเรื่อ ๆ ติดผลเป็นพวง ผลมีสามพูชัดเจน เมื่ออ่อนสีเขียว เมื่อแก่เปลี่ยนเป็นสีเหลืองหรือขาวแกมเหลือง เนื้อฉ่ำน้ำ เมล็ดรูปร่างกลม แข็ง สีน้ำตาลอ่อน 1 เมล็ด มีทั้งพันธุ์เปรี้ยวและพันธุ์หวาน ซึ่งมีรสหวานอมฝาดผลจะอ่อนนุ่มเมื่อสุก จึงเก็บเกี่ยวก่อนผลจะหล่นจากต้น ถิ่นกำเนิดอยู่ที่เอเชียใต้และอเมริกันเขตร้อน
ถิ่นกำเนิดมะยม
เชื่อกันว่าถิ่นกำเนิดดั้งเดิมของมะยมอยู่ในบริเวณ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น ไทย พม่า มาเลเซีย ลาว อินโดนีเซีย แล้วมีการกระจายพันธุ์ไปสู่อินเดีย, มอร์เซียส, อเมริกากลาง, อเมริกาใต้ รวมไปถึงฮาวาย ด้วย สำหรับในประเทศไทยอาจถือได้ว่ามะยม เป็นพืชท้องถิ่นเลยก็ว่าได้ และในปัจจุบันยังสามารถพบเห็นมะยมได้ทั่วทุกภาคของประเทศ เพราะโดยส่วนมาก คนไทยนิยมปลูกไว้บริเวณหน้าบ้านเพื่อความเป็นสิริมงคล เพราะคำว่า มะยม ใกล้กับคำว่า นิยม จึงถือว่ามะยมเป็นไม้มงคลชนิดหนึ่ง และในตำราพรหมชาติได้กำหนดให้ปลูกต้นมะยมไว้ในบริเวณ บ้านด้านทิศตะวันตก ร่วมกับมะขาม และพุทรา
| ลักษณะทั่วไปของมะยม |
- มะยมจัดเป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็กถึงกลาง มีความสูงประมาณ 3-10 เมตร ลำต้นตั้งตรง แตกกิ่งก้านสาขามาก เปลือกต้นเป็นปุ่มปมอันเกิดจากแผลเป็นของก้านใบที่ร่วงหล่นไปแล้ว กิ่งก้านมักจะเปราะและหักง่าย ใบเรียงสลับกันอยู่บริเวณปลายกิ่ง ใบเป็นประเภทขนนก คือ มีใบย่อยเรียงอยู่ 2 ด้าน ของก้านใบรวมขนาดใหญ่ ยาวประมาณ 30 เซนติเมตร ใบย่อย มี 20-30 คู่ เป็นรูปไข่เบี้ยว ปลายใบแหลม ก้นใบค่อนข้างกลม ด้านบนใบสีเขียวอ่อน ด้านล่างสีขาวนวลอมเขียว
ดอกมะยม ออกเป็นช่อ แทงออกตามกิ่ง และลำต้น แต่ส่วนมากออกตามปลายกิ่งจนถึงยอด มักแทงงอกบริเวณด้านล่างของใบ เป็นดอกเพศผู้ และดอกเพศเมียในต้นเดียวกัน มีก้านดอกยาว 1-2 มม. กลีบดอกมีรูปร่างคล้ายไต มีสีเขียว หรือ สีแดงเรื่อ กลีบดอกยาวประมาณ 1.5 มม. ดอกตัวผู้มีเกสรตัวผู้ 4 อัน ดอกตัวเมียมีรังไข่ 3-4 ห้อง บางครั้งอาจพบเกสรตัวผู้ 1-3 อัน บริเวณฐานรังไข่
ผลมะยม มีลักษณะค่อนข้างกลม ก้นแบน จุกด้านบนบริเวณก้านผลบุ๋มลงไปด้านข้าง เป็นพูเว้านูนรอบผล ประมาณ 6-8 พู (เหลี่ยมนูน) ผลกว้างประมาณ 1-3 ซม. มีขั้วผลสั้นประมาณ 0.5 ซม. ผลอ่อนมีสีเขียว ผลแก่มีสีเหลืองอมเขียวเล็กน้อย และแก่จัดจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองนวล เนื้อผลมีรสเปรี้ยวฉ่ำน้ำ ผล 1 ผล เมล็ดมี 1 เมล็ด มีลักษณะเป็นพูคล้ายพูผล เมล็ดมีสีนวลอมน้ำตาล เนื้อเมล็ดแข็งมาก
ทั้งนี้ต้นมะยมอาจแบ่งเป็นต้นตัวผู้ และต้นตัวเมีย โดยต้นตัวผู้จะมีลักษณะสูงใหญ่ แตกกิ่งก้านน้อย ใบใหญ่ ออกดอกเป็นสีแดงม่วง ไม่ติดผล หรือ ติดผลน้อย เพราะเป็นต้นที่ดอกมีเกสรตัวผู้มากกว่าเกสรตัวเมีย แต่ก็ติดผลบ้าง เพราะยังมีดอกเกสรตัวเมียบ้าง ส่วนต้นตัวเมียมักมีลักษณะลำต้นเตี้ยกว่า ออกใบเล็ก แต่ใบดก แตกกิ่งก้านมาก ดอกมีสีเหลืองเขียว ออกดอกดก ติดผลดกทั่วลำกิ่ง เพราะต้นตัวเมียจะมีเกสรตัวเมียมากกว่าเกสรตัวผู้ ซึ่งตามตำรายาไทยและตำรายาพื้นบ้าน มักจะนิยมใช้ราก และใบมะยมตัวผู้มากกว่าตัวเมีย เพราะมีสรรพคุณทางยามากกว่า
| คุณค่าทางโภชนาการของมะยม มะยม ปริมาณ 100 กรัม ให้พลังงานประมาณ 16 กิโลแคลอรี่ และประกอบด้วยสารอาหารต่าง ๆ เช่น น้ำ 91.9 กรัม, ใยอาหาร 0.8 กรัม, โปรตีน 0.155 กรัม, ไขมัน 0.52 กรัม นอกจากนี้ มะยมยังอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น แคลเซียม ฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก แคโรทีน (Carotene) วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 3 วิตามินซี |
| ตัวอย่างเมนูจากมะยม 1. มะยมตากแห้ง ส่วนผสมวัตถุดิบ 1. มะยม 600 กรัม 2. น้ำตาลทรายแดง 300 กรัม 3. สับปะรด 350 กรัม 4. น้ำผึ้ง ตามชอบ ขั้นตอนวิธีการทำ 1. นำล้างให้สะอาด 2. จากนั้นใส่เกลือ คลุกให้เข้ากัน 3. นำตากแดด วางเรียงอย่าให้ทับกัน ตาก 2-3 แดด เป็นอันเสร็จ 2. ตำมะยม ส่วนผสมวัตถุดิบ 1. มะยม 200g 2. กระเทียม 4 กลีบ 3. พริกขี้หนูสด 6 เม็ด 4. กะปิ 2 ชช. 5. น้ำปลาร้า 1 ชต. 6. น้ำปลา 1 ชต. 7. น้ำตาลทราย 1 ชต. 8. น้ำตาลปี๊บ 1 ชต. ขั้นตอนวิธีการทำ 1.เตรียมส่วนผสมให้พร้อม ใส่กระเทียมลงไป 2.ตามด้วยส่วนผสมแห้งตำพอเข้ากัน 3.จากนั้นใส่เครื่องปรุงตามชอบตำพอเข้ากัน เป็นอันเสร็จ |
| ประโยชน์ของมะยมที่มีต่อสุขภาพ 1. อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยต้านการอักเสบและป้องกันโรค มะยมอาจนำมาใช้เพื่อป้องกันและรักษาโรคต่าง ๆ เช่น โรคเบาหวาน โรคตับ โรคทางเดินหายใจ เนื่องจากอุดมไปด้วยสารต้านอนมูลอิสระ เช่น ฟลาโวนอยด์ (Flavonoid) ฟีนอลิก (Phenolic) ซึ่งอาจช่วยต้านการอักเสบ ต้านจุลชีพ และอาจช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือด 2. อาจช่วยจัดการกับโรคเบาหวาน มะยมเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น ฟลาโวนอยด์ ฟีนอลิก เอทานอล (Ethanol) ที่มีคุณสมบัติช่วยต้านการอักเสบของเซลล์ในร่างกาย และลดระดับน้ำตาลในเลือด ซึ่งอาจช่วยป้องกันการเกิดโรคเบาหวานได้ 3. อาจช่วยปกป้องสุขภาพตับ มะยมอุดมไปด้วยเอทานอลซึ่งมีหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีสรรพคุณทางยา อาจช่วยปกป้องสุขภาพตับจากพิษของยาและผลข้างเคียงจากการใช้ยา 4. อาจช่วยต้านจุลชีพและป้องกันการติดเชื้อ มะยมอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่มีฤทธิ์ช่วยต้านเชื้อแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดโรค ซึ่งอาจช่วยป้องกันร่างกายจากการติดเชื้อแบคทีเรีย และยังอาจช่วยรักษาแผลที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียได้อีกด้วย 5. อาจมีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อน ๆ สารประกอบที่พบในมะยมหลายชนิด เช่น วิตามินซี กรดทาร์ทาริก (Tartaric Acid) แทนนิน (Tannin) มีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระและมีความเป็นกรดสูง จึงอาจใช้เป็นยาระบายอ่อน ๆ ในผู้ที่มีอาการท้องผูกได้ |
| ข้อควรระวังในการบริโภคมะยม การบริโภคมะยมอาจมีข้อควรระวังบางประการ ดังนี้ 1. มะยมมีรสชาติเปรี้ยวมาก มีกรดสูงและอาจมีฤทธิ์เป็นยาระบาย หากรับประทานในปริมาณที่มากเกินไปอาจทำให้มีอาการท้องเสีย เสียดท้องและปวดท้องได้ 2. สำหรับผู้ที่ใช้มะยมเป็นยารักษาโรคหรือบรรเทาอาการของโรคต่าง ๆ ควรปรึกษาคุณหมอก่อนใช้เสมอ เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นหากใช้ในปริมาณมาก 3. น้ำยางจากเปลือกและรากของต้นมะยมมีความเป็นพิษเล็กน้อย หากรับประทานอาจทำให้มีอาการง่วงซึมและปวดหัว |








